ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แนวคิดของ เมืองอัจฉริยะ (Smart City) ได้กลายเป็นหัวข้อสำคัญที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ โดยเฉพาะการนำ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการพัฒนาเมือง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากร ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และสร้างความยั่งยืนในระยะยาว บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับบทบาทของ AI ในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และวิธีที่เทคโนโลยีนี้สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้.
เมืองอัจฉริยะคือเมืองที่ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลในการจัดการทรัพยากรและบริการต่าง ๆ เพื่อทำให้ชีวิตของประชาชนสะดวกสบาย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เทคโนโลยีที่สำคัญในเมืองอัจฉริยะประกอบด้วย IoT (Internet of Things) ที่ช่วยเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ และ AI ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
ตัวอย่างเช่น:
- การใช้เซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่ต่าง ๆ ของเมือง
- การควบคุมสัญญาณไฟจราจรแบบเรียลไทม์เพื่อลดปัญหารถติด
- การจัดการพลังงานไฟฟ้าในอาคารเพื่อประหยัดพลังงาน.
บทบาทของ AI ในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ

การจัดการจราจรในเมืองอัจฉริยะได้รับการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพด้วยความช่วยเหลือจาก ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดย AI จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดและเซ็นเซอร์จราจร เพื่อปรับเปลี่ยนสัญญาณไฟจราจรให้เหมาะสมกับจำนวนรถยนต์ในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งช่วยลดปัญหารถติดและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง นอกจากนี้ AI ยังสามารถแนะนำเส้นทางที่เร็วที่สุดให้กับผู้ขับขี่ผ่านแอปพลิเคชันนำทาง เช่น Google Maps หรือ Waze ทำให้ผู้ใช้สามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่นได้
ในด้านการบริหารจัดการทรัพยากร AI ก็มีบทบาทสำคัญ โดยช่วยในการตรวจสอบและจัดการน้ำ ไฟฟ้า และขยะ เพื่อให้การใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ระบบที่ตรวจจับน้ำรั่วในเครือข่ายน้ำประปาช่วยลดการสูญเสียทรัพยากร และการควบคุมไฟฟ้าในอาคารสำนักงานเพื่อให้เหมาะสมกับจำนวนผู้ใช้งาน
นอกจากนี้ AI ยังถูกนำมาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัย เช่น กล้องวงจรปิดที่สามารถจดจำใบหน้าและตรวจจับเหตุการณ์ผิดปกติ เช่น อุบัติเหตุหรือการบุกรุก ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
สุดท้าย AI ยังช่วยในการวางผังเมือง โดยสร้างแบบจำลองสำหรับการออกแบบพื้นที่ใช้งาน โดยใช้ข้อมูลเกี่ยวกับประชากร การจราจร และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้สามารถออกแบบพื้นที่ที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ เช่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียวหรือการจัดโซนสำหรับธุรกิจและที่อยู่อาศัย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เมืองสามารถพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
ปัญญาประดิษฐ์และการใช้ชีวิตที่ปรับให้เหมาะสม: บ้านอัจฉริยะที่ปรับตัวตามไลฟ์สไตล์ของคุณ

การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในบ้านอัจฉริยะกำลังเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราอย่างมีนัยสำคัญ AI เปลี่ยนชีวิตประจำวัน โดยช่วยสร้างประสบการณ์ที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล ผ่านการเรียนรู้พฤติกรรมและการวิเคราะห์ข้อมูล ตัวอย่างเช่น เทอร์โมสแตทอัจฉริยะสามารถเรียนรู้ว่าเจ้าของบ้านมักจะปรับอุณหภูมิในช่วงเวลาใดและทำการปรับให้อัตโนมัติ เพื่อให้บ้านมีสภาพแวดล้อมที่สบายที่สุด นอกจากนี้ อุปกรณ์อัจฉริยะ เช่น ตู้เย็น ยังสามารถแนะนำสูตรอาหารจากวัตถุดิบที่มีอยู่หรือเตือนเมื่ออาหารใกล้หมดอายุ ซึ่งช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกมากขึ้น
AI ยังมีบทบาทในการดูแลสุขภาพ โดยเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สวมใส่ เช่น สมาร์ทวอทช์ หากตรวจพบว่าผู้ใช้มีความเครียดสูง ระบบอาจปรับแสงไฟในบ้านให้ลดลงหรือเล่นเพลงที่ช่วยผ่อนคลาย เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี นอกจากนี้ AI ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานในบ้าน โดยวิเคราะห์รูปแบบการใช้งานและปรับลดการใช้พลังงานในเวลาที่ไม่จำเป็น ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ฟีเจอร์เด่นของบ้านอัจฉริยะที่ใช้ AI ได้แก่ การควบคุมด้วยเสียง ทำให้ผู้ใช้งานสามารถสั่งงานอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ เพียงพูดคำสั่ง และระบบที่เชื่อมต่อกันอย่างราบรื่น ทำให้อุปกรณ์ทุกชิ้นทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในด้านความปลอดภัย AI ช่วยตรวจจับกิจกรรมที่ผิดปกติผ่านกล้องวงจรปิดและล็อกประตูอัจฉริยะ โดยสามารถแจ้งเตือนเจ้าของบ้านเมื่อมีภัยคุกคาม
AI เปลี่ยนชีวิตประจำวันในอนาคต โดยเฉพาะในบ้านอัจฉริยะที่ยังมีแนวโน้มจะพัฒนาไปอีกขั้น บ้านจะสามารถรับรู้บริบทต่าง ๆ เช่น สภาพอากาศหรือช่วงเวลาของวัน และปรับตัวตามสถานการณ์ได้โดยอัตโนมัติ เมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้ก้าวหน้า บ้านจะกลายเป็นพื้นที่ที่ตอบสนองทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัย ทำให้ชีวิตสะดวก ปลอดภัย และเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์เฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้น.
การพัฒนาเทคโนโลยี AI และผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน

ในยุคปัจจุบัน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเรา โดยไม่เพียงแต่ทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น แต่ยังช่วยเชื่อมโยงผู้คนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านการใช้ Internet of Things (IoT) ทำให้วัตถุในชีวิตประจำวัน เช่น สวิตช์ไฟอัจฉริยะและเทอร์โมสแตท สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น AI สามารถตั้งนาฬิกาปลุกที่ปรับเวลาตามรูปแบบการนอนของเรา หรือช่วยตรวจสอบสภาพอากาศและการจราจรในวันนั้น ๆ เพื่อให้เราสามารถวางแผนกิจกรรมได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ AI ยังช่วยให้เครื่องชงกาแฟทำกาแฟตามความชอบของเราได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสะดวกสบายที่เทคโนโลยีนี้นำมา
AI ยังสามารถปรับแต่งประสบการณ์การใช้งานให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยเรียนรู้พฤติกรรมและความชอบของผู้ใช้ ทำให้สามารถปรับอุณหภูมิในบ้านหรือควบคุมแสงไฟได้ตามต้องการ โดยไม่ต้องลงมือทำเอง ในด้านสุขภาพ AI มีบทบาทในการตรวจสอบสุขภาพผ่านอุปกรณ์สวมใส่ เช่น สมาร์ทวอทช์ ซึ่งสามารถติดตามข้อมูลสุขภาพและแจ้งเตือนเมื่อมีปัญหา ทำให้เราสามารถดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น นอกจากนี้ AI ยังช่วยลดภาระงานที่ซ้ำซากในสถานที่ทำงาน ทำให้เราสามารถมุ่งเน้นไปที่งานที่สร้างสรรค์มากขึ้น
เมื่อมองไปข้างหน้า อนาคตของ AI จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเราคาดหวังว่าจะมีการรวมเข้ากับชีวิตประจำวันมากขึ้น เช่น ตู้เย็นที่สามารถสั่งซื้อของตามความต้องการ หรือรถยนต์ที่สามารถเลือกเส้นทางได้โดยไม่ต้องมีคำสั่งจากเรา อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ AI ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น เราต้องไม่ลืมที่จะรักษาความเป็นส่วนตัวและใช้เทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบ การสร้างสมดุลระหว่างความสะดวกสบายและความรับผิดชอบจะช่วยให้เราสามารถเพลิดเพลินกับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้อย่างเต็มที่
โดยรวมแล้ว AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิตของเรา ไม่เพียงแต่ทำให้ทุกอย่างสะดวกสบายมากขึ้น แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้คนและสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้ทุกวันเป็นวันที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบายและเชื่อมต่อกันอย่างลงตัว.
ประโยชน์ของเมืองอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI

- การจัดการจราจรที่มีประสิทธิภาพ: AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดและเซ็นเซอร์จราจรเพื่อปรับเปลี่ยนสัญญาณไฟจราจรตามสภาพการจราจรในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งช่วยลดปัญหารถติดและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง นอกจากนี้ AI ยังสามารถแนะนำเส้นทางที่เร็วที่สุดให้กับผู้ขับขี่ผ่านแอปพลิเคชันนำทาง เช่น Google Maps หรือ Waze ทำให้การเดินทางสะดวกและรวดเร็วขึ้น
- การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างคุ้มค่า: AI สามารถช่วยในการตรวจสอบและจัดการทรัพยากรต่าง ๆ เช่น น้ำ ไฟฟ้า และขยะ โดยสามารถระบุปัญหาได้อย่างรวดเร็ว เช่น ระบบตรวจจับน้ำรั่วในเครือข่ายน้ำประปา ช่วยลดการสูญเสียน้ำ และการควบคุมระบบไฟฟ้าในอาคารสำนักงานให้เหมาะสมกับจำนวนคนที่ใช้งาน ซึ่งช่วยประหยัดพลังงานและลดค่าใช้จ่าย
- ความปลอดภัยสาธารณะ: AI ถูกนำมาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัย เช่น กล้องวงจรปิดที่สามารถจดจำใบหน้าและตรวจจับเหตุการณ์ผิดปกติ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ปลอดภัย เช่น อุบัติเหตุหรือการบุกรุก ระบบจะส่งสัญญาณเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ได้ทันที ทำให้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็ว และช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชน
- การวางผังเมืองที่ตอบโจทย์ประชาชน: AI สามารถช่วยในการวางแผนผังเมืองโดยใช้ข้อมูลเกี่ยวกับประชากร การจราจร และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อออกแบบพื้นที่ใช้งานที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การสร้างสวนสาธารณะ หรือการจัดโซนสำหรับธุรกิจและที่อยู่อาศัย ทำให้เมืองมีความน่าอยู่มากขึ้น
- ส่งเสริมความยั่งยืนและรักษาสิ่งแวดล้อม: AI ช่วยสนับสนุนความยั่งยืนของเมือง โดยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น คุณภาพอากาศ และระดับมลพิษ เพื่อแจ้งเตือนเมื่อมีปัญหา ทำให้หน่วยงานสามารถดำเนินมาตรการแก้ไขได้ทันท่วงที นอกจากนี้ยังช่วยในการควบคุมการใช้พลังงานและลดมลพิษจากระบบขนส่ง
- บริการสาธารณะที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ: AI ช่วยปรับปรุงบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ระบบแชทบอทที่ตอบคำถามประชาชนได้ทันที และการขออนุญาตหรือชำระค่าบริการผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ลดเวลาที่ต้องใช้ในการดำเนินการ.
ระบบนิเวศของการใช้ชีวิตอัจฉริยะ: การทำงานร่วมกันของบ้านและเมืองผ่าน AI

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว AI เปลี่ยนชีวิตประจำวัน โดยเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบนิเวศของการใช้ชีวิตอัจฉริยะ โดยเฉพาะในด้านการเชื่อมโยงระหว่างบ้านและเมือง AI ไม่เพียงแต่ช่วยให้บ้านมีความสะดวกสบาย แต่ยังช่วยให้เมืองสามารถจัดการทรัพยากรและบริการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำงานร่วมกันระหว่างบ้านและเมืองเริ่มต้นจากการใช้ Internet of Things (IoT) ซึ่งทำให้บ้านอัจฉริยะสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ และเรียนรู้พฤติกรรมของผู้อยู่อาศัย เช่น เทอร์โมสแตทที่สามารถปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมตามเวลาที่เจ้าของบ้านอยู่ในบ้าน หรือระบบไฟฟ้าที่สามารถควบคุมได้จากระยะไกลผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน
ในระดับเมือง AI ช่วยในการจัดการระบบต่าง ๆ เช่น การควบคุมจราจร โดยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์เพื่อปรับสัญญาณไฟจราจรให้เหมาะสมกับสภาพการจราจรจริง ซึ่งช่วยลดปัญหารถติดและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง นอกจากนี้ AI ยังสามารถตรวจสอบคุณภาพอากาศในเมืองและแจ้งเตือนประชาชนเมื่อมีมลพิษสูง ทำให้ผู้คนสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นเกี่ยวกับกิจกรรมกลางแจ้ง
AI ยังมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพ โดยเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สวมใส่ เช่น สมาร์ทวอทช์ ที่ติดตามข้อมูลสุขภาพและแจ้งเตือนเมื่อพบความผิดปกติ ทำให้ประชาชนสามารถดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อนาคตของระบบนิเวศการใช้ชีวิตอัจฉริยะจะมีการพัฒนาไปอีกขั้น โดยเราคาดหวังว่าบ้านและเมืองจะทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ เช่น บ้านที่สามารถส่งข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานหรือคุณภาพอากาศไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ ทำให้เมืองสามารถดำเนินมาตรการที่เหมาะสมได้อย่างรวดเร็ว
โดยรวมแล้ว AI เปลี่ยนชีวิตประจำวัน ของเราในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบาย ความปลอดภัย หรือการจัดการทรัพยากร ทำให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างบ้านและเมืองอย่างลงตัว ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตและความยั่งยืนในอนาคต.
AI สำหรับทุกคน: เทคโนโลยีที่เข้าถึงได้ทำให้บ้านและเมืองอัจฉริยะขึ้น

- การเชื่อมต่อผ่าน Internet of Things (IoT): AI ช่วยให้บ้านและเมืองสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น สวิตช์ไฟ เครื่องปรับอากาศ และระบบรักษาความปลอดภัย ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมทุกอย่างได้จากระยะไกลผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ซึ่งเพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตประจำวัน
- การปรับปรุงบริการในเมือง: AI ใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์เพื่อช่วยในการจัดการทรัพยากรในเมือง เช่น การควบคุมการจราจร การตรวจสอบคุณภาพอากาศ และการจัดการขยะ ซึ่งทำให้เมืองสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น
- ความเข้าถึงสำหรับผู้มีความต้องการพิเศษ: AI ช่วยให้ผู้ที่มีความต้องการพิเศษ เช่น ผู้สูงอายุและผู้พิการ สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น การใช้ระบบเสียงเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะในจุดบริการสาธารณะ เช่น ระบบขนส่งหรือสถานที่สาธารณะ
- การสร้างสภาพแวดล้อมที่ตอบสนอง: เทคโนโลยี AI สามารถปรับตัวตามพฤติกรรมและความต้องการของผู้ใช้ โดยสามารถเรียนรู้และปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในบ้านหรือเมืองให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เช่น ระบบที่ปรับแสงไฟหรืออุณหภูมิในบ้านตามเวลาหรือกิจกรรมของผู้ใช้งาน
- อนาคตที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น: ในอนาคต คาดว่า AI จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบที่ช่วยสนับสนุนผู้สูงอายุหรือผู้พิการในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การแจ้งเตือนเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญ หรือการช่วยในการเดินทาง ซึ่งจะทำให้ชีวิตประจำวันสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น
- สร้างสังคมที่เท่าเทียมกัน: การนำ AI มาใช้ในบ้านและเมืองอัจฉริยะช่วยสร้างโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีสำหรับทุกคน ทำให้เกิดสังคมที่มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น โดยไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตได้อย่างง่ายดาย
โดยรวมแล้ว AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับบ้านและเมือง ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ.
การจัดการพลังงานด้วย AI: การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่บ้านและในเมือง

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดการพลังงานในทั้งบ้านและเมือง โดยช่วยให้เราสามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการใช้พลังงานที่ดีขึ้น: AI สามารถรวบรวมข้อมูลจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ในบ้าน เช่น เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้า และระบบไฟฟ้า เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการใช้งานของผู้คน การเรียนรู้จากข้อมูลเหล่านี้ทำให้ AI สามารถคาดการณ์ความต้องการพลังงานในอนาคตได้ ตัวอย่างเช่น ระบบอาจปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศให้อัตโนมัติตามเวลาที่เจ้าของบ้านอยู่บ้านหรือไม่ ซึ่งช่วยประหยัดพลังงานในช่วงเวลาที่ไม่มีคนอยู่
การจัดการพลังงานในระดับเมือง:ในระดับเมือง AI มีบทบาทในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ เช่น การควบคุมระบบไฟถนนให้เปิด-ปิดตามสภาพแสงธรรมชาติ หรือการจัดการจราจรเพื่อให้รถยนต์เคลื่อนที่ได้อย่างราบรื่น โดย AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์และกล้องวงจรปิดเพื่อปรับให้เข้ากับสภาพการจราจรจริง ซึ่งช่วยลดปัญหารถติดและเพิ่มความปลอดภัยบนถนน
การสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน:AI ยังมีส่วนช่วยในการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม โดยสามารถคาดการณ์ได้ว่าพลังงานจะผลิตได้มากน้อยเพียงใดในแต่ละวันตามสภาพอากาศ ทำให้สามารถวางแผนการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ AI ยังสามารถช่วยในการจัดเก็บพลังงานที่ผลิตได้ เพื่อให้สามารถนำมาใช้ในช่วงเวลาที่ต้องการได้
การลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน: ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์และควบคุม AI ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ โดยระบบสามารถแจ้งเตือนเมื่อมีอุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้งานหรือเมื่อมีการใช้ไฟฟ้ามากเกินไป ทำให้ผู้ใช้งานสามารถตัดสินใจที่จะปิดหรือปรับลดการใช้งานได้ทันที.