ทุกวันนี้ ทุกบริษัทต้องการตัดสินใจได้เร็วและฉลาดขึ้นด้วยการใช้ข้อมูล ซึ่งหมายความว่าทีมงานด้านข้อมูลต้องเร่งสร้างระบบที่สามารถจัดการข้อมูลได้มากขึ้น รองรับผู้ใช้งานได้มากขึ้น และตอบคำถามได้หลากหลายขึ้นในเวลาเดียวกัน แต่ปัญหาคือ การทำแบบนี้อาจทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
คลังข้อมูลบนคลาวด์ เช่น Snowflake, BigQuery หรือ Redshift มีความสามารถสูงมาก แต่ถ้าไม่ได้ตั้งค่าให้เหมาะสม ค่าใช้จ่ายอาจพุ่งสูงได้ง่าย หลายทีมยังสร้างความซับซ้อนเกินไป เช่น สร้าง pipeline จำนวนมาก ใช้เครื่องมือหลายตัว หรือเก็บข้อมูลที่ไม่มีใครใช้งานจริง สิ่งเหล่านี้ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่ม ประสิทธิภาพลดลง และเสียเวลาไปกับการแก้ปัญหา
นอกจากนี้ ยังง่ายมากที่จะไม่รู้ว่าเงินถูกใช้ไปกับอะไรบ้าง ถ้าไม่มีระบบติดตามที่ดี ทีมงานมักไม่รู้ตัวเลยว่าใช้เงินหรือทรัพยากรสิ้นเปลืองไปกับอะไร เช่น ตารางที่ไม่มีคนใช้ การรีเฟรชข้อมูลที่ไม่จำเป็น หรือการตั้งงานให้ทำบ่อยเกินไป
วิธีสร้างคลังข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าต่อการลงทุน

การสร้างคลังข้อมูลที่ฉลาดขึ้นไม่ใช่เรื่องของการทำให้มันใหญ่ขึ้นหรือซับซ้อนมากขึ้น แต่เป็นเรื่องของความมีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า และการตอบโจทย์ธุรกิจจริง
คลังข้อมูลที่ฉลาดสามารถขยายหรือลดขนาดได้อัตโนมัติตามความต้องการ ซึ่งช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี เพราะจ่ายเท่าที่ใช้งานจริง มันมีความกระชับ ไม่เก็บข้อมูลเกินจำเป็น ไม่ซ้ำซ้อน และไม่ใช้ข้อมูลที่ล้าสมัย แทนที่จะเก็บทุกอย่าง มันจะเน้นเฉพาะข้อมูลที่มีคุณค่าและใช้ประโยชน์ได้จริง
คลังข้อมูลแบบนี้ยังถูกออกแบบมาให้ตอบสนองการใช้งานจริง เช่น การรันคำสั่งค้นหาข้อมูล (query) และรายงานที่ธุรกิจต้องการ ทำให้การทำงานเร็วขึ้น และโครงสร้างไม่ซับซ้อน
สุดท้าย มันสามารถตรวจสอบได้ มีระบบที่ช่วยให้เห็นภาพรวมของประสิทธิภาพ ค่าใช้จ่าย และปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ทำให้ทีมสามารถปรับปรุงและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำให้คลังข้อมูล “ฉลาด” หมายถึง การทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ด้วยวิธีที่ง่ายกว่าและประหยัดกว่า
ลดความสิ้นเปลืองในคลังข้อมูลของคุณ: กับดักงบประมาณที่ควรหลีกเลี่ยง

หลายทีมมักใช้งบประมาณในคลังข้อมูลโดยไม่รู้ตัว เพราะเจอปัญหาทั่วไปบางอย่าง เช่น การตั้งค่าทรัพยากรไว้สูงเกินไปเพื่อรองรับช่วงที่มีการใช้งานมาก ทั้งที่จริงแล้วไม่ได้ใช้เต็มที่ ทำให้ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายมากเกินจำเป็น
การออกแบบโครงสร้างข้อมูลที่ไม่ดี ก็ทำให้การดึงข้อมูล (query) ทำงานช้าและใช้ทรัพยากรมากขึ้น ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ยังมี pipeline ที่ไม่ได้ใช้งานแต่ยังรันอยู่ ทำให้เปลืองทั้งพลังประมวลผลและพื้นที่จัดเก็บข้อมูล
ถ้าไม่มีการตรวจสอบค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ความสิ้นเปลืองเหล่านี้จะไม่ถูกพบ จนกระทั่งบิลเรียกเก็บเงินมา อีกปัญหาคือการไม่มีเอกสารหรือเจ้าของข้อมูลที่ชัดเจน ทำให้ทรัพยากรถูกใช้ไปโดยไม่เกิดประโยชน์
หากทีมสามารถปรับปรุงการใช้ทรัพยากรให้เหมาะสม ทำให้ query มีประสิทธิภาพขึ้น และตั้งระบบตรวจสอบค่าใช้จ่ายให้ดี ก็จะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ และทำให้คลังข้อมูลมีประสิทธิภาพและประหยัดมากขึ้น
กลยุทธ์สำคัญในการสร้างคลังข้อมูลที่คุ้มค่าต่อการลงทุน

เพื่อสร้างคลังข้อมูลที่ฉลาดขึ้นและ วิธีสร้างคลังข้อมูลอัจฉริยะโดยไม่ให้เกินงบประมาณที่กำหนด คุณควรเน้นที่ความเรียบง่ายและประสิทธิภาพ นี่คือกลยุทธ์ที่สามารถช่วยให้คุณไปถึงจุดนั้นได้:
ใช้ ELT แทน ETL แบบเดิม: โดยปกติ ETL (Extract, Transform, Load) ต้องแปลงข้อมูลก่อนค่อยโหลดเข้าไปในคลังข้อมูล ซึ่งทำให้ช้าและใช้ทรัพยากรเยอะ แต่ ELT (Extract, Load, Transform) จะโหลดข้อมูลดิบเข้าไปก่อน แล้วค่อยแปลงภายในคลังข้อมูลเอง ซึ่งช่วยให้ทำงานเร็วขึ้นและปรับขนาดได้ง่าย โดยเฉพาะกับแพลตฟอร์มคลาวด์อย่าง Snowflake หรือ BigQuery
ใช้โมเดลแบบ incremental: แทนที่จะโหลดข้อมูลทั้งหมดใหม่ทุกครั้ง ให้ใช้วิธีโหลดเฉพาะข้อมูลที่เปลี่ยนแปลง วิธีนี้ช่วยลดเวลาประมวลผล ลดภาระของระบบ และประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะประมวลผลข้อมูลน้อยลง การโหลดข้อมูลทั้งหมดบ่อย ๆ โดยเฉพาะกับข้อมูลขนาดใหญ่ จะเปลืองทรัพยากรมาก
ปรับปรุงประสิทธิภาพของการ query: การเขียน query ให้ดีจะช่วยให้ทั้งประสิทธิภาพดีขึ้นและค่าใช้จ่ายลดลง เทคนิคที่ช่วยได้ เช่น การแบ่งพาร์ทชันข้อมูล (partitioning), การจัดกลุ่มข้อมูลที่คล้ายกัน (clustering), และการทำ index เพื่อค้นหาข้อมูลได้เร็วขึ้น Query ที่เขียนอย่างเหมาะสมจะทำงานเร็วขึ้นและใช้ทรัพยากรน้อยลง
ออกแบบโมเดลข้อมูลให้กระชับ: หลีกเลี่ยงการสร้างตารางที่กว้างเกินไป (มีคอลัมน์มากเกินจำเป็น) หรือมีการ join ข้อมูลหลายชั้นเกินไป เพราะจะทำให้ query ทำงานช้าลง การออกแบบให้เรียบง่ายและโฟกัสแค่สิ่งที่ธุรกิจใช้งานจริง จะช่วยให้ระบบทำงานได้ดีขึ้นและดูแลรักษาง่ายขึ้น
เริ่มจากความต้องการทางธุรกิจก่อน ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี: อย่าสร้างคลังข้อมูลตามเครื่องมือใหม่หรือฟีเจอร์ที่ดูน่าสนใจ แต่ควรเริ่มจากคำถามว่า ธุรกิจต้องการอะไร? ปัญหาคืออะไร? ใครจะใช้ข้อมูล? การเริ่มจาก use case ที่ชัดเจน จะช่วยให้ระบบที่สร้างขึ้นตอบโจทย์จริง ไม่ซับซ้อนเกินไป และไม่เสียเงินกับฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น
วิธีสร้างคลังข้อมูลอัจฉริยะโดยไม่ให้เกินงบประมาณที่กำหนด จะช่วยให้คุณสร้างคลังข้อมูลที่ไม่เพียงแค่ทรงพลัง แต่ยังคุ้มค่าและดูแลได้ง่าย ด้วยการออกแบบที่เหมาะสมและวิธีการที่ถูกต้อง คุณจะสามารถให้ข้อมูลที่มีคุณภาพสูงได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องใช้งบประมาณเกินตัว
เคล็ดลับเชิงปฏิบัติในการลดค่าใช้จ่ายในคลังข้อมูลของคุณ

เพื่อให้คลังข้อมูลของคุณมีประสิทธิภาพและหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายเกินความจำเป็น นี่คือกลยุทธ์การประหยัดค่าใช้จ่ายที่คุณสามารถเริ่มใช้ได้ทันที:
ติดตามการใช้งานผ่านเครื่องมือเช่น Resource Monitor ของ Snowflake หรือการควบคุมค่าใช้จ่ายของ BigQuery: แพลตฟอร์มคลาวด์ส่วนใหญ่ เช่น Snowflake และ BigQuery มีเครื่องมือที่ช่วยติดตามการใช้งานและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้คุณเห็นว่า query, jobs หรือผู้ใช้คนไหนที่ใช้ทรัพยากรมากที่สุด โดยการติดตามนี้ คุณสามารถหาจุดที่สามารถลดหรือปรับปรุงได้ เพื่อลดการเกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
เก็บข้อมูลที่ไม่ค่อยใช้ในพื้นที่จัดเก็บที่มีราคาถูก: ข้อมูลทั้งหมดไม่จำเป็นต้องเก็บในพื้นที่จัดเก็บที่รวดเร็วและมีราคาสูง ข้อมูลบางอย่างอาจไม่ถูกเข้าถึงบ่อย ซึ่งเรียกว่าข้อมูลเย็น (cold data) คุณสามารถย้ายข้อมูลเหล่านี้ไปเก็บในพื้นที่จัดเก็บที่มีราคาถูกกว่า เช่น Amazon S3 หรือ Google Cloud’s Nearline หรือ Coldline ซึ่งออกแบบมาสำหรับเก็บข้อมูลจำนวนมากในราคาที่ต่ำกว่า ช่วยให้พื้นที่จัดเก็บที่มีราคาสูงและประสิทธิภาพดีเหลือไว้สำหรับข้อมูลที่ใช้บ่อย
ใช้ materialized views หรือ pre-aggregations อย่างชาญฉลาด (และติดตามรอบการรีเฟรช): Materialized views และ pre-aggregations ช่วยเร่งการประมวลผล query ที่ซับซ้อนโดยการคำนวณผลลัพธ์ล่วงหน้าและเก็บไว้ ซึ่งสามารถใช้งานได้ดี แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง หากรีเฟรชบ่อยเกินไปอาจทำให้ทรัพยากรถูกใช้อย่างสิ้นเปลือง ตั้งรอบการรีเฟรชที่ตรงกับความต้องการจริงๆ สำหรับข้อมูลใหม่ ไม่ต้องรีเฟรชทุกชั่วโมงถ้าธุรกิจต้องการแค่การอัปเดตข้อมูลรายวัน
ตรวจสอบตาราง, แดชบอร์ด หรือโมเดลที่ไม่ได้ใช้งานเป็นประจำ: เมื่อเวลาผ่านไป คุณอาจสะสมตารางข้อมูล โมเดล หรือแดชบอร์ดที่ไม่มีใครใช้หรือดูอยู่ ซึ่งจะใช้ทรัพยากรทั้งในการจัดเก็บและประมวลผล การตรวจสอบคลังข้อมูลของคุณอย่างสม่ำเสมอเพื่อหาสิ่งที่ไม่ได้ใช้งานและทำความสะอาดจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้ระบบมีความคล่องตัว
ตั้งค่า SLA สำหรับความสดของข้อมูล — ข้อมูลทุกตัวไม่จำเป็นต้องเป็นข้อมูลเรียลไทม์: ไม่กระบวนการทางธุรกิจทุกประเภทต้องการข้อมูลเรียลไทม์ บางรายงานหรือแดชบอร์ดอาจต้องการการอัปเดตแค่รายวันหรือรายสัปดาห์ และการให้ข้อมูลเรียลไทม์สำหรับสิ่งเหล่านี้อาจเป็นการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและแพงเกินไป การตั้ง SLA สำหรับความสดของข้อมูลตามกรณีการใช้งานต่างๆ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและหลีกเลี่ยงการทำงานหนักเกินไปของระบบที่ไม่จำเป็น
เปลี่ยนคลังข้อมูลของคุณให้เป็นทรัพย์สินที่ฉลาดและคุ้มค่าต่อการลงทุน

การมีคลังข้อมูลที่ฉลาดหมายถึงการมีความยืดหยุ่น ประสิทธิภาพ และความชัดเจน ไม่ใช่แค่การมีพลังการประมวลผลมากมาย คลังข้อมูลควรเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปตามการเติบโตของธุรกิจของคุณ และยังคงมอบคุณค่าอยู่เสมอ โดยการให้ความสำคัญทั้งด้านประสิทธิภาพและค่าใช้จ่าย คุณมั่นใจได้ว่าคลังข้อมูลของคุณจะไม่เป็นแค่เครื่องมือ แต่เป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่ปรับตัวได้ตามความต้องการของธุรกิจ
สนใจเรียนรู้เพิ่มเติมไหม? ติดต่อเราที่ Hashed Analytics เพื่อสำรวจวิธีที่เราสามารถช่วยปรับปรุงคลังข้อมูลของคุณให้มีการจัดการค่าใช้จ่ายและประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น 💡 เราพร้อมที่จะช่วยคุณสร้างโซลูชันข้อมูลที่ฉลาดและมีประสิทธิภาพที่สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจ